อะคาเดมี ‘มังกรไฟ’ รากแก้วอันยิ่งใหญ่สู่วงการฟุตบอลอาชีพ

8/20/15
 
 
เมื่อ 29 มี.ค. 2013 เวลา 15:01:00 น.

สโมสรฟุตบอลที่พร้อมสู่การพัฒนาอันยั่งยืน นอกจากจะต้องประกอบด้วยปัจจัยอันสำคัญในทุกรูปแบบแล้ว "ระบบลูกหนังเยาวชน" คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่เราอยากยกตัวอย่างของทัพ "มังกรไฟ" มาให้ดู

Close Up: อะคาเดมี ‘มังกรไฟ’ รากแก้วอันยิ่งใหญ่สู่วงการฟุตบอลอาชีพ

โดย ธีรภัทร รัญตะเสวี

Twitter@Teerapatra

teerapatra@gmail.com

รากฐานของต้นไม้ที่เหนียวแน่นและมั่นคงไม่ว่าจะเจอพายุกระหน่ำซัดสักเพียงไร ต้นไม้ใหญ่ก็ยังคงความยืนต้นอยู่ได้ สโมสรฟุตบอลก็เช่นกัน หากมีนักเตะที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ ก็เป็นรากฐานแห่งหลักประกันของความสำเร็จของสโมสรในอนาคต

ทีมแต่ละทีมจึงต้องสร้างพันธมิตรในวงการลูกหนัง เพื่อเสาะแสวงหานักเตะที่มีความสามารถเข้าร่วมฝึกซ้อม เพื่อที่จะเป็นชุมกำลังชุดใหม่ในอนาคต เหตุนี้การสร้างทีมอคาเดมีในระดับเยาวชน จึงเป็นการต่อยอดให้แก่สโมสรระยะยาว เพื่อที่จะเป็นแหล่งบ่มเพาะนักเตะที่มีความสามารถในอนาคต ก้าวเข้าสู่ถนนสายลูกหนังเมืองไทย

ทีมใหญ่ระดับไทยลีกอย่าง “มังกรไฟ” สโมสร บีอีซี-เทโรศาสน อดีตแชมป์ไทยลีก 2 สมัย ได้จับมือกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มหาอำนาจลูกหนังขาสั้นอันดับต้นๆของประเทศไทย เป็นพันธมิตรด้านการพัฒนาเยาวชนร่วมกัน โดยเซ็นสัญญาร่วมมือระยะยาว เพื่อยกระดับและพัฒนานักฟุตบอลเยาวชนของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นกำลังหลักของสโมสรรวมถึงในระดับทีมชาติต่อไป

"จุดเริ่มต้นสร้างทีมเยาวชนอคาเดมีของสโมสรเรานั้นได้ลงมือสร้างกันมากว่า 2 ปี โดยทางกรุงเทพคริสเตียน ซึ่งเป็นทีมมหาอำนาจแห่งกีฬาฟุตบอลขาสั้น ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย" “เสี่ยแมน” ธัญญะ วงศ์นาค ผู้จัดการทีมบีอีซี-เทโรศาสน เผยอย่างภาคภูมิ

"เราเริ่มเสาะแสวงหานักเตะที่มีความสามารถเข้ามาเป็นขุมกำลังของทีมเยาวชน ตั้งแต่อายุ 9-18 ปี โดยกรุงเทพคริสเตียนจะสนับสนึน ในด้านการศึกษาแก่แข้งเยาวชนของทีมทุกคน และด้านการฝึกซ้อม เพื่อปูทางสู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ หากนักเตะรายไหนมีฝีเท้าที่ดีเล่นได้เข้าตา ก็จะจับเซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมของเราทันที"

บอสใหญ่ค่าย "มังกรไฟ" เผยต่ออีกว่า "กรุงเทพคริสเตียนสถาบันชั้นนำของประเทศ สร้างนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ประดับวงการฟุตบอลเมืองไทยเอาไว้มากมาย ทั้งที่เคยสังกัดบีอีซี-เทโรศาสน อย่างเช่น ธีรเทพ วิโนทัย, วุฒิชัย ทาทอง, กิตติพล ปาภูงา, อัครพล มีสวัสดิ์, พลไชย หงส์ทองและชนาธิป สรงกระสินธ์"

"ซึ่งอคาเดมีของเรานั้นอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างสโมสรชั้นนำระดับโลก เนื่องจากการเติบโตของกีฬาฟุตบอลในไทยนั้น ยังไม่เทียบเท่ากับทีมดังจากยุโรป ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นได้ เราคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร"

"ส่วนด้านนักเตะนั้น ธรรมชาติแล้วความสามารถของแข้งส่วนใหญ่จะมีจุดท็อปฟอร์มอยู่ในช่วงอายุประมาณ 18-19 ปี และเมื่อถึงจุดนี้ถ้าไม่ได้รับการซ้อมและการสนับสนุนอย่างมืออาชีพ ความร้อนแรงของฝีเท้าก็ถดถอยลง เราจึงต้องการนำเยาวชนเหล่านี้ไปพัฒนาต่อยอดโดยจุดเป้าหมายหลักคือการปั้นนักเตะเข้าตลาดฟุตบอลเมืองไทย และเป็นกำลังหลักให้สโมสรบีอีซี-เทโรศาสน ต่อไปในอนาคต" ผู้จัดการทีมบีอีซีฯ กล่าว

"ส่วนเรื่องของการการเซ็นสัญญา ทั้งหมดทั้งมวลต้องขึ้นอยู่ที่ฝีเท้าและสไตล์การเล่นของแต่ละคน ว่าจะปรับจูนฝีเท้าเข้ากับผู้เล่นของทีมได้หรือไม่ ซึ่งเรายังมีเวทีให้เล่น อย่างทีมอาร์แบค บีอีซี-เทโรศาสน ที่กำลังลงบู๊ศึกในฟุตบอลดิวิชั่น 2 อยู่ในขณะนี้รองรับซึ่งขึ้นกับความสามารถและความเหมาะสมของแต่ละคน"

การสร้างอคาเดมีของสโมสรลูกหนัง นอกจากช่วยยกระดับสโมสรนั้นๆแล้ว ยังสร้างมาตรฐานและพัฒนาวงการฟุตบอลอาชีพของประเทศไปพร้อมๆ กัน และแม้จะเหลียวซ้ายแลขวา ถ้าหากเราต้องการเดินไปข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะต้องเริ่มต้นสร้างได้แล้ว

เพื่ออนาคตฟุตบอลประเทศไทย ที่จะพัฒนาแบบไร้รอยต่อ...ทอเต็มผืน

No comments:

Post a Comment